ภาพรวมของภาพยนตร์ This Is It: เมื่อดนตรีกลายเป็นมรดกแห่งภาพยนตร์

การเดินทางครั้งสุดท้ายของ Michael Jackson

This Is It ออกฉายในปี 2009 เพียงไม่กี่เดือนหลังการจากไปของ Michael Jackson ภาพยนตร์รวบรวมฟุตเทจเบื้องหลังการเตรียมทัวร์คอนเสิร์ตชื่อเดียวกัน ซึ่งเขาตั้งใจจะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ที่ลอนดอน

กำกับโดย Kenny Ortega ภาพยนตร์เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้เห็นกระบวนการสร้างสรรค์ของ Michael อย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การเลือกเพลง การซ้อมท่าเต้น การปรับแสง ไปจนถึงการกำกับทุกรายละเอียดบนเวที

ไม่มีบท ไม่มีบทพูดที่เขียนไว้ล่วงหน้า This Is It จึงจริงแท้ เปี่ยมอารมณ์ และสะท้อนความยิ่งใหญ่ของศิลปินผู้สมบูรณ์แบบ—ผู้มีชีวิตเพื่อดนตรีจนวินาทีสุดท้าย

 

สารคดีที่เปี่ยมกลิ่นอายภาพยนตร์

ในเชิงภาพยนตร์ This Is It ไม่ได้แค่บันทึกเบื้องหลัง แต่ถูกตัดต่อและออกแบบเสียงอย่างประณีต ราวกับการแสดงสดบนจอเงิน
มุมกล้อง จังหวะการตัด และการจัดการเสียง ทำให้ผู้ชมสัมผัสพลังของเวที ลมหายใจของดนตรี และแรงสั่นสะเทือนของทุกจังหวะกลอง

นี่คือประสบการณ์ที่เป็นทั้ง “ภาพยนตร์” และ “เวทีคอนเสิร์ต”—concert movie ที่ทำให้ผู้ชมนั่งอยู่ในโรง แต่หัวใจอยากลุกขึ้นเต้นตาม

Moonwalk: สัญลักษณ์ที่ไม่เลือนหายของ “ราชาเพลงป๊อป”

เมื่อ Moonwalk กลายเป็นภาษาของภาพยนตร์

หนึ่งในไฮไลต์ที่ยากจะลืมของ This Is It คือการนำเสนอท่า Moonwalk—สัญลักษณ์ที่ผูกติดกับชื่อของ Michael Jackson มากว่าเกือบ 40 ปี

ภายใต้แสงไฟเวที ทุกก้าวที่ลื่นไถลถอยหลังไม่ใช่แค่เทคนิค แต่คือการหลอมรวมของดนตรี ร่างกาย และอารมณ์ กล้องค่อย ๆ เคลื่อน ชูมใกล้ที่เท้า สร้างภาพลวงตาราวกับผู้ชมกำลัง “ย้อนเวลา” กลับไปสู่ทศวรรษ 80—ช่วงที่ Moonwalk ทำให้โลกหยุดนิ่ง
ขณะ Michael ลื่นไถลบนพื้น เวทีสะท้อนแสงบนรองเท้าขาวดำ นั่นคือช่วงเวลาที่ตำนานถูกทำให้เป็นภาพยนตร์

 

จากเวทีสู่จอเงิน

หากบนเวที Moonwalk คือภาษาการแสดง ใน This Is It Moonwalk คือ สัญลักษณ์ทางภาพยนตร์
มุมกล้องจากพื้นขึ้นสู่ใบหน้า Michael โดยมีฉากหลังเป็นจอ LED ขนาดมหึมา ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่แต่โดดเดี่ยว—ราวกับศิลปินที่ยืนอยู่ระหว่างความรุ่งโรจน์กับภาระของชื่อเสียง

Moonwalk ในภาพยนตร์ไม่ได้สื่อถึงแค่ท่าเต้น แต่เป็นอุปมาของชีวิต Michael Jackson—ชายผู้ “ลื่นผ่าน” แสงสปอตไลต์ เก็บรักษาความเป็นมนุษย์และความหลงใหลลึกที่สุดไว้เงียบ ๆ

วิเคราะห์เชิงศิลปะ: เมื่อเสียงและภาพเล่าเรื่องตำนาน

ภาษาภาพยนตร์ที่ละเอียดอ่อน

Kenny Ortega ไม่พยายามสร้าง “หนังชีวประวัติ” แต่เลือกภาษาของสารคดีเชิงภาพยนตร์ ให้ภาพเล่าเรื่องเอง
แสงสลัว ภาพซ้อม (rehearsal) สลับกับการแสดงทดลอง ถูกตัดต่ออย่างลื่นไหล เผยให้เห็น Michael Jackson ผู้พิถีพิถัน ทุ่มเท และยังเปี่ยมพลังสร้างสรรค์
เสียงถูกออกแบบราวกับการแสดงสด—เสียงไมค์ ลมหายใจ จังหวะก้าว และเสียงหัวเราะระหว่างซ้อม—ทั้งหมดรวมกันเป็นภาพดนตรีที่จริงแท้จนแทบหยุดหายใจ

สารและคุณค่าทางศิลปะ

Michael Jackson: สัญลักษณ์แห่งความสมบูรณ์แบบ

ตลอดทั้งเรื่อง เราเห็นความสมบูรณ์แบบที่แทบจะหมกมุ่นของ Michael ตั้งแต่ความสว่างของไฟ น้ำหนักเสียงเบส ไปจนถึงจังหวะมือของนักเต้น ทุกอย่างถูกปรับอย่างละเอียด ไม่ใช่เพราะการควบคุม แต่เพราะเขาต้องการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ชม
ในยุคดนตรีอุตสาหกรรม This Is It เตือนเราว่า ศิลปะที่แท้จริงต้องการความทุ่มเทอย่างที่สุด

เมื่อศิลปินกลายเป็นสัญลักษณ์วัฒนธรรม

ภาพยนตร์ยังยืนยันอิทธิพลอันลึกซึ้งของ Michael Jackson ต่อวัฒนธรรมร่วมสมัย จาก Moonwalk, Thriller ถึง Billie Jean—ผลงานและท่าเต้นของเขากลายเป็น “ภาษาสากล” ข้ามพรมแดนสีผิว ชาติพันธุ์ และวัย
ในฉากซ้อม Earth Song Michael หยุดและพูดด้วยสายตาลึกซึ้งว่า
“นี่คือเพลงเพื่อโลก เราต้องทำอะไรสักอย่าง เดี๋ยวนี้”
ช่วงเวลานั้นทำให้ทั้งกองถ่ายและผู้ชมเงียบงัน—เพราะเรามองเห็นหัวใจอันเมตตาที่ซ่อนอยู่หลังแสงสปอตไลต์

บทสรุป: งานศิลป์ที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อความบันเทิง แต่เพื่อการ “รับรู้”

จุดเด่น

• อารมณ์ที่แท้จริง ไม่มีการแสดง ทุกอย่างคือความจริง—ตั้งแต่ลมหายใจถึงหยดเหงื่อ

• ดนตรีอมตะ ทุกบทเพลงคือระฆังที่เรียกคืนยุคทองของป๊อป

• คุณภาพภาพและเสียงยอดเยี่ยม แม้เป็นฟุตเทจเบื้องหลัง แต่ผ่านการโพสต์โปรดักชันอย่างประณีต ราวคอนเสิร์ตภาพยนตร์สมบูรณ์แบบ

ข้อจำกัด

• ไม่เหมาะกับผู้ชมที่มองหาดราม่าหรือพล็อต

• จังหวะหนังบางช่วงช้า เน้นการใคร่ครวญมากกว่าความพีค
  อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้รักศิลปะ—โดยเฉพาะแฟน Michael Jackson—This Is It คือภาพยนตร์ที่ควรดูอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต

This Is It: คำอำลาของตำนานอมตะ

This Is It ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ แต่คือมรดกแห่งดนตรีโลก—สถานที่ที่ Michael Jackson ยัง “มีชีวิต” อยู่ในทุกจังหวะกลอง ทุกแสงไฟ และทุกก้าว Moonwalk ที่ลื่นย้อนกาลเวลา

เมื่อคำว่า This Is It ปรากฏในฉากสุดท้าย เราตระหนักว่านี่ไม่ใช่จุดจบ แต่คือการสานต่อของตำนาน
เพราะ Michael Jackson ไม่เคยจากเวทีไปไหน—
เขาเพียงแค่กำลังเต้นอยู่ในที่ที่แสงไฟไม่เคยดับเท่านั้น

 

Pierre Cardin Shoes Thailand

(2025)